DIY

ทาสีรีโนเวทบ้านใหม่

Share this article

จริงๆทำอะไรต้องหลายอย่างแต่ไม่ได้เอามาเล่าให้ฟังกัน อย่างเช่น การทาสี เชื่อว่าใครๆก็คิดว่าไม่ยาก แต่เอาจริงๆถ้าจะทาสีให้ดีให้สวยให้ครบกระบวนท่าแล้ว ก็มีหลายขั้นตอนอยู่เดี๋ยววันนี้มาเล่าเรื่องทาสีให้ฟังกันครับ เริ่มจากถ้าบ้านเดิมเป็นบ้านที่มีวอลเปเปอร์ติดอยู่ทั้งหลัง แล้วอยากเปลี่ยนจากการติดวอลล์เปเปอร์เป็นทาสี แบบนี้ต้องทำอย่างไร

  1. ลอกวอลเปเปอร์ออก เริ่มจากการฉีกกระดาษชั้นนอกสุดของวอลเปเปอร์ออกก่อน เพราะชั้นนี้จะกันน้ำกันสิ่งสกปรก เราต้องทำการฉีกชั้นนอกสุดออกก่อน เมื่อทำการฉีดชั้นนอกออกหมด จากนั้น ใช้ลูกกลิ้งสีมาจุ่มน้ำแล้วกลิ้งทับวอลเปเปอร์ชั้นสอง เมื่อวอลเปเปอร์ชั้นในสุดโดนน้ำมันก็จะหลุดออกมา ค่อยๆลอกชั้นสองออกจะเจอกับเนื้อปูนด้านในแล้ว แต่ยังไม่เสร็จถ้ามีรอยกาวก็ต้องพยายามลอกรอยกาวให้หมดเหลือแต่ปูนเปลือยไว้
  2. เตรียมหน้างาน ถอดตะปู น็อต รวมทั้งพุกที่ฝังในผนังออกให้หมด ตะปูใช้ค้อนงัดออก น็อตใช้ไขควงขันออก ส่วนพุกใช้วิธีไขน็อตเข้าไปเล็กน้อยจากนั้นใช้ค้อนเกี่ยวแล้วดึงออกให้หมด จากนั้นติดเทปกาวหนังไก่ บริเวณกรอบประตู, หน้าต่าง, รอบดวงไฟ และส่วนที่ไม่ต้องให้เปื้อนสี รวมทั้งแกะหน้ากากปลั๊กไฟออกทั้งหมดเพื่อกันสีเปื้อน
  3. ทำการฉาบบางด้วยปูนสกิม ปูนสกิมผิวมีขายหลายยี่ห้อ แต่ที่วีโคใช้คือ TOA skim code 101 นำปูนสกิมโค้ดมาผสมน้ำตามสัดส่วนที่ระบุข้างถุง 1 ถุงหนัก 20 กิโลกรัม เมื่อผสมตามสัดส่วนแล้ว ใช้สว่านเปลี่ยนหัวเป็นแบบหัวที่ใช้คนปูน คนปูนให้เข้ากันและทำให้เป็นเนื้อเดียวกันทั้งหมด จากนั้นนำมาฉาบบางที่ผนังทั้งหมดโดยฉาบให้เรียบ ปูนสกิมโค้ดมี 2 สี ใช้สีขาว ถ้าอยากทาสีโทนสว่าง การสกิมโค้ดด้วยปูนสีขาว จะช่วยให้ประหยัดสีได้ด้วย หรือใช้สีเทา ถ้าต้องการทาสีโทนเข้ม
  4. ตรวจสอบผนังว่าเรียบแล้วไหม ถ้าไม่เรียบตรงส่วนไหนให้ฉาบสกิมโค้ดเก็บรายละเอียดให้เรียบทั้งหมดเท่าที่ทำได้และมองเห็นได้ เอามือลูบสัมผัสดูว่าเรียบแล้วยัง ใช้แสงส่องดูจะเห็นว่าเรียบแล้วยัง ไม่เรียบก็ฉาบปรับแต่งให้เรียบ
  5. ใช้กระดาษทรายเบอร์ 3 ขัดบริเวณที่ฉาบสกิมโค้ดให้ทั่วทั้งหมด ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาคือ ผนังเรียบ ขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลาขัดด้วยกระดาษทรายให้ทั่วทั้งผนังเพื่อให้ผนังเรียบ ขัดเพื่อเก็บรายละเอียด
  6. ทำความสะอาดโดยใช้ไม้กวาดปัดกวาดบนผนังให้ฝุ่นผงที่เกิดจากการใช้กระดาษทรายขัดหลุดลงมาให้มากสุด หรืออาจใช้เครื่องดูดฝุ่นช่วยดูดฝุ่นให้ออกไปมากที่สุด ผลที่ต้องการคือ ผนังที่ไม่มีฝุ่นผง
  7. ทำการเตรียมหน้างานโดยหาวัสดุป้องกันสีเปื้อนโดยการปิดคลุม รองพื้น โดยเตรียมก่อนทาสี เปิดบังป้องกันสีเปื้อน เพราะถ้าสีเปื้อนจะต้องใช้เวลาเช็ดทำความสะอาดอีก จะเสียเวลามากขึ้น แต่โดยทั่วไปก็จะมีสีเปื้อนสีเลอะบ้าง ถ้าเป็นสีน้ำก็สามารถใช้น้ำเช็ดทำความสะอาดได้แต่ต้องใช้แรงเช็ดกว่าจะออกจึงต้องใช้เวลา ส่วนถ้าเป็นสีน้ำมันก็ต้องระมัดระวังให้มากขึ้น เพราะอาจทำให้พื้นไม้และเฟอร์นิเจอร์เสียหายได้ เพราะเช็ดออกยากและหากใช้น้ำยาเช็ดอาจทำให้พื้นไม้ เฟอร์นิเจอร์มีรอยเป็นดวงๆ
  8. ใช้สีรองพื้นทาสีที่ผนัง และ ฝ้า ใช้ลูกกลิ้งๆสีรองพื้นให้ทั่วทั้งฝนังและฝ้า โดยทั่วไปสีรองพื้นมีสีใส เวลาทาสีไปแล้วจะเห็นเป็นแสงเงาแสดงว่าส่วนนั้นได้ทาสีรองพื้นแล้ว ถ้าสีรองพื้นเป็นสีขาวเวลาทาสีจริงจะช่วยประหยัดสีจริงโทนสว่างได้ สีรองพื้นโดยทั่วไปมี 2 ชนิด 1. สีรองพื้นแบบน้ำ 2. สีรองพื้นแบบน้ำมัน โดยสีรองพื้นแบบน้ำจะเหมาะกับทาภายในบ้าน เพราะกลิ่นจะไม่เหม็นเท่าสีรองพื้นแบบน้ำมัน แต่สีรองพื้นแบบน้ำมันจะให้ผลในเรื่องการยึดเกาะได้ดีกว่า แต่มีกลิ่นฉุนเหมาะจะใช้ทาภายนอก จะใช้ทาภายในได้ในกรณีที่ไม่มีคนอยู่อาศัยเพราะต้องใช้เวลาหลายวันกลิ่นถึงจะหายแต่ยึดเกาะดีกว่า
  9. ทาสีภายในด้วยสีจริง ทาสีฝ้าก่อนเพราะฝ้าอยู่ด้านบน โดยทั่วไปทาสีฝ้าต้องทาอย่างน้อย 2 รอบ แต่วีโคทาไป 2 รอบสีก็ยังไม่เรียบเนียนดังนั้นก็ต้องทาสีซ้ำๆเฉพาะจุดเฉพาะส่วนส่วน ทาสีเก็บรายละเอียดจนกว่าสีจะสวยเรียบเนียน ทาสีผนังก็เป็นเช่นเดียวกับการทาสีฝ้า โดยทั่วไปทาสีจริง 2 รอบหลังจากทาสีรองพื้นแล้ว เกรดของสีจริงมี 3 รูปแบบ ดูที่อายุการใช้งานเป็นหลักเริ่มด้วย 7 ปี 10 ปี 15 ปี ถ้าเป็น TOA ก็จะเป็น fourseason, shieldone และ supershield เรียงลำดับกัน ราคาก็จะเรียงลำดับจากน้อยไปมากเหมือนกัน สีทาภายในมีให้เลือกมากกว่า ถ้าเป็นเกรด 15 ปี ก็จะมี Supershield, Duraclean, DurecleanA+, Organic Care เรียงตามลำดับราคา ตัวหลังๆจะเน้นความปลอดภัยต่อผู้อาศัยมากขึ้น

อายุการใช้งานและประเภทของสี อายุการใช้งานของสีส่วนมากจะมีชื่อเฉพาะของแต่ละยี่ห้อ เช่น ถ้าเป็นสี TOA ก็จะมี fourseason, shieldone, และ supershield จะมีอายุการใช้งาน 7, 10, และ 15 ปี ราคาจะเริ่มจากถูกไปแพงตามอายุการใช้งานของสี และ ประเภทของสี คือ สีแบบด้าน, สีกึ่งเงา, และสีแบบเงา ราคาจะเริ่มจากด้าน, เงา, และกึ่งเงาจะแพงสุด

การเลือกสี เลือกจากแคตตาล็อคสี หรือ พัดสี เอาจริงๆตอนเลือกสีเลือกยาก เพราะสีมีให้เลือกมาก แล้วเห็นสีแค่เป็นจุดเล็กๆ ใครถ้ามีคนออกแบบสีให้ได้ก็จะช่วยได้เยอะ แต่ถ้าเลือกเองก็ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบของสี สีผนังสีอะไร สีฝ้าสีอะไร สีบัวสีอะไร สีพื้นสีอะไรและวัสดุเป็นแบบไหน เฟอร์นิเจอร์เราสีอะไรและเป็นแบบไหน ประตูและหน้าต่างเราสีอะไรเป็นแบบไหน เราจะตกแต่งบ้านไปในโทนสีไหนแบบใด แล้วควรเลือกผนังสีอะไรดีให้มันเข้ากันนั้นแหละคือความยากของการเลือกสีครับ

การผสมสี เวลาเราไปเลือกสีที่ร้านมันจะมีสี BASE A,B,C ซึ่งจะเป็นสีขาวแล้วไปผสมกับแม่สีจะออกมาเป็นสีที่เราต้องการ เช่นหากเราต้องการสี ครีม เวลาไปซื้อสีก็ต้องรู้รหัสสีว่ารหัสอะไร เพราะบอกว่าสีครีมจะไม่รู้เรื่อง เนื่องจากสีครีมระดับไหน อ่อน กลาง เข้ม มันจะมีรหัสของมันและมีชื่อเฉพาะ ตัวอย่าง ถ้าหากเราเลือกสี WhiteLily D201 ทางร้านต้องไปดูอีกว่า รหัสสีเป็นรหัสสีของสีน้ำใช่หรือไม่ แล้วก็ไปคำนวณหาราคาสีต่อถัง โดยทั่วไปจะเป็นถังสีขนาด 9 ลิตร ราคาจะประกอบด้วย ราคาสีเบส (BASE A, B, C) บวกด้วยราคาแม่สี ตัวอย่าง สี WhiteLily D201 ใช้สีเบสเอ แม่สี D201 มันจะมีราคาแยกออกจากกัน เมื่อเราสั่งซื้อสีจ่ายเงินเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็จะไปขนถังแม่สีขนาด 9 ลิตรมา แล้วนำมาใส่เครื่อง จากนั้นพิมพ์รหัสสีลงในเครื่องให้ทางเราดูชื่อและสีที่แสดงหน้าจอ ว่าตรงกับที่เราเลือกจากแคตตาล็อคหรือพัดสีแล้วตรงกันใช่ไหม จากนั้นเจ้าหน้าจะเปิดถังสีออกเอาไปใส่ในเครื่องผสมสี แม่สีจะหยดลงมาใส่ถัง ซึ่งแม่สีที่เราเลือกก็มาจากการผสมแม่สีในแต่ละตัวว่าสีเปอร์เซ็นต์จนได้ออกมาเป็นแม่สีที่เราเลือก ใครเคยเรียนศิลปะก็น่าจะมีประสบการณ์เรื่องการผสมสี ก็คล้ายๆกัน ต่อจากนั้น เจ้าหน้าที่ก็จะยกถังลงมาปิดฝาให้สนิทแล้วยกถังสีนั้นไปใส่เครื่องเขย่า เครื่องนี้มีหน้าที่เขย่าสีให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียวกันใช้เวลาไม่นานก็ได้สีที่เราต้องการพร้อมสำหรับไปทาสีแล้ว

ขนาดถังและปริมาณที่ทาได้ ที่วีโคใช้จะมีแบบถังสีขนาด 9+ ลิตร และ 18+ ลิตร โดยขนาด 9 ลิตรจะเป็นสีที่ผสมมา จะได้แค่ขนาด 9 ลิตรจะทาสีได้ประมาณ 75 ตารางเมตรต่อเที่ยว ถัง 18 ลิตรจะทาได้ 150 ตารางเมตรต่อเที่ยว ขึ้นอยู่กับความสามารถในการทาสีด้วย ว่าทาได้คุ้มค่าแค่ไหน แต่ที่ลองมาวีโคทาสีได้คุ้มกว่าจ้างช่างมาทาอยู่ หมายถึงการใช้สีในการทาต่อพื้นที่ เพราะวีโคอาจจะงกก็เลยต้องใช้สีให้คุ้มค่า เพราะสีกระป๋อง9ลิตร ถังละสองพันต้องใช้ให้คุ้มค่า เพื่อโลกและเงินในกระเป๋าครับ

ลูกกลิ้ง มีหลายยี่ห้อหลายขนาด แต่ละยี่ห้ออาจมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน อันนี้อยู่ที่ประสบการณ์ในการเลือกว่ายี่ห้อไหนดี มีแบบขนหนา ขนบาง มีหลายขนาดเช่น 4 นิ้ว 7 นิ้ว 9 นิ้ว และ 10 นิ้ว มีถาดสีให้เลือกซื้ออีก ถาดสีจะช่วยให้เราแบ่งสีออกมาทาทีละน้อย แต่วีโคเห็นช่างสีมักใช้วิธีคือเอาลูกกลิ้งใส่ลงไปในถังสีเลย ไม่ต้องใช้ถาดสีมันก็สะดวกดีนะ เพราะเวลาล้างลูกกลิ้งก็ต้องใช้เวลาล้างนานกว่าสีจะออกหมด

แปรงทาสี ใช้สำหรับทาสีตามซอกตามมุมที่ลูกกลิ้งเข้าไม่ถึง แต่เวลาเราทาจะเกิดรอยขนแปรง ใช้ลูกกลิ้งๆสีจะทาสีได้เนียนกว่าแต่ก็ต้องทาสีเป็นด้วย ไม่งั้นก็อาจมีรอยลูกกลิ้งอีก ต้องลองทาสีเองแล้วจะเข้าใจว่าทาสีแบบไหนแล้วสีจะเรียบเนียนแล้วเร็วด้วย เฮอ เหนื่อยจริงๆกว่าจะเสร็จต้องใช้กำลังคนและเวลาอยู่เหมือนกัน ที่สำคัญประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพจะทำให้ทำงานได้ไวและออกมาดี

วันนี้สรุปเท่านี้ก่อน จริงๆมันมีขั้นตอนและมีรายละเอียดอีกเยอะเลยทีเดียว ฮาฮาฮา จะเห็นได้ว่าแค่ทาสีเอาจริงๆถ้าให้สวยเรียบเนียนมันมีกระบวนการวิธีการหลายขั้นตอน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *